วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

3. ภูมิคุ้มกันของร่างกาย

3. ภูมิคุ้มกันของร่างกาย


         การที่บุคคลใดจะเกิดโรคขึ้นจะต้องอาศัยปัจจัย  3  ประการ  คือ  ตัวเชื้อโรค  บุคคลและสิ่งแวดล้อม  บางคนเจ็บป่วยได้ง่าย  แต่บางคนไม่ค่อยเจ็บป่วย  ทั้งที่ๆมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายอยู่เสมอ  เนื่องจากร่างกายของคนเรามีความต้านทาน  หรือภูมิคุ้มกันโรคนั่นเอง


ภูมิคุ้มกันโรค  (Immunity)  หมายถึง ร่างกายมีความต้านทานเกิดจากมีกลไกป้องกันหรือต่อต้านโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะ   และภูมิคุ้มกันโรคนี่อาจจะเป็นเพียงชั่วคราวหรือตลอดไปก็ได้ 
ภูมิคุ้มกันโรคโดยทั่วไปอาจแบ่งออกเป็น  2  ชนิด  ดังนี้ 
1. ภูมิคุ้มกันโรคที่มีอยู่ตามธรรมชาติ  (Natural   Immunity)  เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่ถ่ายทอดมาทางสายเลือด  โดยมารดาจะถ่ายทอดผ่านทางรกมาสู่ทารกในครรภ์  ดังนั้น  ทารกที่เกิดใหม่จะมีภูมิคุ้มกันโรคบางชนิด  เช่น  โรคคอตีบ  โรคหัด  และไข้ทรพิษได้เองตามธรรมชาติ  แต่ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติเหล่านี้คงอยู่ได้ประมาณ  3  เดือนหลังคลอด  ต่อจากนั้นทารกจะมีภูมิคุ้มกันโรคลดลง 
นอกจานี้ร่างกายของคนเราโดยทั่วไปยังมีผิวหนัง  เยื่อเมือกต่างๆ  เช่น  เยื่อตาและเยื่อจมูก  น้ำย่อยอาหาร  และเม็ดเลือดขาวไว้สำหรับคุ้มกันโรคตามธรรมชาติอีกด้วย  ภูมิคุ้มกันโรคตามธรรมชาติเหล่านี้   จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ  เพศ  อายุ  และความสมบรูณ์ของบุคคลเหล่านั้นๆ 
2. ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง  (Acquired   Immunity)   เป็นภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นหลังคลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว  
ภูมิคุ้มกันโรคชนิดนี้ยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ 
2.1  ประเภทที่เกิดขึ้นภายหลังจากหายป่วยด้วยโรคต่างๆ  เช่น  ไข้ทรพิษ  หัด  อีสุกอีใส  คางทูม  เป็นต้น  ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดขึ้นนี้  อาจมีอยู่ระยะเวลาหนึ่งหรือมีอยู่ได้นานตลอดชีวิตก็ได้  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและสภาพของบุคคลด้วย 
2.2  ประเภทที่ทำให้เกิดได้โดยการปลูกฝี  ฉีดวัคซีนเซรุ่มและท็อกซอยด์  เพื่อช่วยให้ร่างกายมีหรือสร้างคุ้มกันเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้นมา  ภูมิคุ้มกันโรคชนิดนี้  อาจแบ่งออกตามลักษณะการเกิดขึ้นได้เป็น  2  ชนิด  ดังนี้ 
(1) ภูมิคุ้มกันก่อเอง  (Active   Immunization)  หมายถึง  ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดตัวเชื้อโรคหรือผลิตผลของตัวเชื้อโรค  ซึ่งได้ทำให้รุนแรงของตัวเชื้อหรือพิษเชื้อให้น้อยลงเข้าไปในร่างกายของมนุษย์   เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะโรคนั้นขึ้นมาได้  การฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ  เช่น  วัคซีนป้องกันโรค  โรคไอกรน  โรคคอตีบ  โรคอหิวาตกโรค  ไข้รากสาดน้อย  เป็นต้น 
(2) ภูมิคุ้มกันรับมา  (Passive   Immunization)  หมายถึง  ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดผลิตผลของเลือดสัตว์หรือมนุษย์  ที่ทราบว่ามีภูมิคุ้มกันโรคนั้นเข้าไปในร่างกาย  ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคทันทีต่างจากประเภทแรกซึ่งร่างกายจะต้องค่อยๆ  สร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมาเอง  การสร้างภูมิคุ้มกันโรคชนิดนี้  ได้แก่    การให้เซรุ่มป้องกันโรคต่างๆ  เช่น  โรคพิษงู  โรคพิษสุนัขบ้า  บาดทะยัก  คอตีบ  เป็นต้น 
ซีรัม  (Serum)  หมายถึง  ส่วนผสมของน้ำเหลืองของสัตว์โดยการฉีดเชื้อโรคเข้าไปในสัตว์ทีละน้อยๆ จนกระทั่งสัตว์นั้นสามารถสร้างความต้านโรคขึ้นในเลือดได้เพียงพอ  จึงเอาน้ำเหลืองจากเลือดของสัตว์มาทำให้เป็นน้ำยาฉีดเข้าไปในคนเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคนั้นๆได้  โดยในน้ำเหลืองของสัตว์จะมีสารต้านทานโรค  เรียกว่า  แอนติท็อกซิน  (Antitoxin) 
วัคซีน  (Vaccine) หมายถึง  สารที่ได้จากการทำให้เชื้อโรคตายหรือหมดฤทธิ์  เมื่อฉีดเข้าร่างกายจะไม่ทำให้เกิดโรค  แต่สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้  การใช้วัคซีนนี้  เรียกว่า การสร้างภูมิคุ้มกันโรคโดยตรง  (ภูมิคุ้มกันก่อเอง) เพราะเมื่อให้วัคซีนแล้วร่างกายค่อยๆสนองตอบและสร้างภูมิคุ้มกันโรคขึ้นมาต้านทานโรคนั้นๆ  วัคซีนป้องกันโรคต่างๆที่มีใช้กันอยู่ในปัจจุบันทั้งโรคติดเชื้อเกิดจากเชื้อบัคเตรีและเชื้อไวรัสดังต่อไปนี้คือ
ตาราง  เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างภูมิคุ้มกันก่อเอง  กับภูมิคุ้มกันรับมา
ภูมิคุ้มกันก่อเองภูมิคุ้มกันรับมา
1.  เกิดขึ้นอย่างช้าๆ (หลังได้รับแอนติเจน) ประมาณ  7-14  วัน
2.  ให้ภูมิคุ้มกันก่อนสัมผัสโรค
3.  มีระยะเวลาอยู่ในร่างกายเป็นปี
4.  ใช้กับคนที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน ได้ด้วยตนเอง
5.  เช่น  วัคซีน  OPV  DPT  ท็อกซอยบาดทะยัก
1.  เกิดขึ้นทันที  หลังจากได้รับสาร
2.  ให้ภูมิคุ้มกันหลังสัมผัสโรค
3.  มีระยะเวลาอยู่ในร่างกายไม่นาน  (เป็นสัปดาห์)
4.  ใช้กับคนที่ไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้  (มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน หรือรับเชื้อที่รุนแรง)
5.  เช่น  เซรุ่ม  (ซีรัม)  แก้พิษงู  แอนติท็อกซินบาดทะยัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น